วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนังตลกที่ตลกไม่ออกของ ชาลี แชปลิน Monsieur Verdoux (1947)

ปี 1947 ชาลี แชปลิน ได้สร้าง กำกับ และแสดงภาพยนตร์ขาวดำออกมาเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับความนิยม อีกทั้งยังถูกต่อต้านจากหลายฝ่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าแชปลินเป็นพวกฝักใฝ่คอมมิวนิสต์

ในรอบพรีเมียร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อจ้องแต่จะคอยรุมถามเรื่อง.......ทำไมเขาจึงไม่ยอมรับสัญชาติอเมริกัน หรือความคิดเกี่ยวกับการเมืองของแชปลิน

อีกทั้งก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ฉาย แชปลินโดนแกล้งจากฝ่ายเซนเซอร์ของรัฐบาลอเมริกา และจากความผิดหวังกับประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เป็น 1 ในหลายเหตุผลที่ทำให้เค้าตัดสินใจออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไปในปี 1952

 
ชาลี แชปลินค่ะ หน้าไม่ค่อยคุ้นเนอะ

ปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกจัดอยู่ในคอลเลคชั่นงานชิ้นเด่นที่คอหนังเก่าควรมีไว้สะสม และแชปลินเองได้กล่าวว่า เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่เค้าได้สร้างมา นั่นคือ ภาพยนตร์ เรื่อง Monsier Verdoux

บทภาพยนตร์อ้างอิงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ในไตเติ้ลของภาพยนตร์แจ้งว่า เจ้าของไอเดียคือ ออสัน เวลล์ ผู้กำกับชื่อดัง

Monsieur Verdoux (1947)


Monsieur Verdoux เป็น Black Comedy หรือ Killer Comedy เรื่องตลกเสียดสี ที่ไม่รู้จะหัวเราะ หรือร้องไห้

แชปปลิน รับบทเป็นชายวัยกลางคน อารมณ์เย็น เพลิดเพลิน ทั้งๆที่ดูงานยุ่งตลอดเวลา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ป้ายหลุมศพของเมอซิเออร์ เวอดูซ์ อองรีคนข้างล่างนี้ค่ะ


และเสียงเล่าเรื่องของผู้เป็นเจ้าของหลุมศพก็พาเราย้อนอดีตกลับไปหลายปี


ปี 1930 ณ ประเทศฝรั่งเศส เวอดูซ์ ชายชาวฝรั่งเศสที่ซื่อสัตย์ในอาชีพเสมียนธนาคารมาตลอดกว่า 30 ปี โดนไล่ออกจากงาน เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นตกต่ำ
เวอดูซ์จึงหันมาทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ บางอย่าง เพื่อหาเลี้ยงปากท้องตัวเอง ลูกชาย และภรรยาที่พิการ

 
เผาและฝัง......ในสวนกุหลาบ

ด้วยอาชีพของ เวอดูซ์ ทำให้เค้าต้องเดินทางไปมาระหว่างเมืองนี้ เมืองนั้น และเมืองโน้น นานๆครั้งจึงจะได้กลับมาเยี่ยมครอบครัว และก็ต้องจากไปอีกเมืองหนึ่งอย่างรวดเร็ว


บางครั้งเวอดูซ์เป็นกัปตันเรือ บางครั้งเป็นช่างตัดเสื้อ เป็นเจ้าของสวนกุหลาบ หรือเป็นวิศวกรสร้างสะพาน
ในเมืองที่เค้าไป เกิดเหตุหญิงม่ายฐานะร่ำรวยหลายคนแต่งงานใหม่ และไม่นานก็หายตัวไป

 
เวอดูซ์ในบทของกัปตันเรือกับแม่ม่ายที่ร่ำรวย

...........ค่ะ มองซิเออร์ เวอดูซ์ อองรี มีอาชีพเป็นนักปอกลอกหญิงม่ายวัยกลางคนที่มีฐานะ และหลังจากที่หมดประโยชน์เค้าก็ฆ่าพวกหล่อนทิ้ง ศพแล้ว ศพเล่า ศพแล้ว ศพเล่า

  
คนต่อไป

สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่ยุโรปตกต่ำ ประชาชนอดอยาก ตกงาน ทุกชีวิตต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอด และนี่คือทางรอดของ มองซิเออร์ เวอดูซ์ ซึ่งเค้าเรียกมันว่า การทำธุรกิจ

นอกจากใช้จ่ายส่วนตัว และสำหรับครอบครัวแล้ว เวอดูซ์ นำรายได้เกือบทั้งหมดไปลงทุนในหุ้น

  
เหยื่อรายนี้ เราไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆค่ะ เห็นแต่หุ่น

แผนการของเวอดูซ์ดูเหมือนจะราบรื่น ถึงแม้จะมีติดขัดบ้าง (แม่ม่ายบางคนดวงแข็ง) แต่เค้าก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง เมื่อเศรษฐกิจยุโรปตกต่ำถึงขีดสุด  ธนาคารล้ม หุ้นและเงินที่เค้าฝากไว้กลายเป็นศูนย์ ......

   
จะเอาบ่วงผูกหินคล้องคอ และฆ่าเสียให้ตาย

เมื่อเงินที่สะสมกลายเป็นศูนย์... เมียและลูกทิ้งเค้าไป สิ่งที่เค้าทำมาทั้งหมดล้มเหลว เวอดูซ์จึงตัดสินใจเลิกอาชีพนี้
หลังจากนั้นเค้าใช้ชีวิตอย่างซอมซ่ออยู่หลายปี ในที่สุดก็ถูกจับ เวอดูซ์ยิ้มรับกับชะตากรรม เค้าได้รับคำตัดสินประหารจากการปล้น ฆ่า ด้วยกิโยติน

 
สุดท้ายก็ถูกจับได้

แชปลินสื่อกับผู้ชมผ่านภาพยนตร์ว่า เวอดูซ์ ตัวละครหลักเป็นคนรักครอบครัว รักสัตว์ และเป็นมังสวิรัติ เมื่อภาพฮิตเลอร์ปรากฎขึ้นในจอบางขณะ (ฮิตเลอร์ เป็นมังสวิรัติ รักสัตว์ และอ่อนโยนต่อเด็กและคนรักเหมือนกัน) อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างฆาตรกรต่อเนื่องในภาพยนตร์คนนี้ กับปีศาจเลือดเย็นในประวัติศาสตร์ และพาลให้นึกถึงผู้ที่พยายามลากจูงคนทั้งโลกเข้าสู่ภาวะสงครามในปัจจุบัน

สิ่งที่น่าสนใจที่แชปลินได้บอกกับเราในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ การฆ่าอย่างปกปิด และ ฆ่าอย่างเปิดเผย ซึ่งเค้ากล่าวว่า ทั้ง 2 อย่าง มันก็คือธุรกิจ 

รับชะตากรรม

คำพูดก่อนศาลจะตัดสินประหารชีวิตค่ะ

As for being a mass killer, does not the world encourage it? Is it not building weapons of destruction for the sole purpose of mass killing?  Has it not blown unsuspecting women and little children to pieces...? Huh.. As a mass killer, I am an amateur by comparison.

การเป็นฆาตรกรหลายศพนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่โลกสนับสนุนหรือไร การสร้างอาวุธเพื่อทำลายไม่ใช่เพื่อการเข่นฆ่าหรอกหรือ มันไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว และเด็กๆตัวเล็กๆร่างแหลกเหลวใช่ไหม...ในฐานะฆาตรกร เทียบแล้วผมเป็นเพียงมือสมัครเล่นด้วยซ้ำ !!!!

 
คุยกับบาทหลวงก่อนถูกประหาร

That's business. That's the history of many a big business. Wars, conflict....it's all business. One murder makes a villain, millions, a heroNumbers sanctify my good fellow.

นั่นคือธุรกิจ ประวัติศาสตร์ของธุรกิจขนาดใหญ่ๆ มากมาย สงคราม ความขัดแย้ง ล้วนแต่เป็นธุรกิจทั้งนั้น ฆ่าคนเพียงคนเดียวเป็นผู้ร้าย ฆ่าคนเป็นล้านกลับกลายเป็นวีรบุรุษ จำนวนต่างหากที่สำคัญ เพื่อนเอ๋ย....

 
ภาพเดินเข้าสู่แดนประหาร

นายเวอดูซ์ รับว่า การฆ่าของเค้าคือ ธุรกิจ แต่ผู้ฆ่าในสงครามแต่ละครั้ง ไม่เคยมีใครบอกเลยนะคะ ว่าเป็นธุรกิจ ทุกฝ่ายล้วนแต่อ้างความชอบธรรมต่างๆนานา
อะไรคือความชอบธรรม ที่จะให้คนๆหนึ่ง ฆ่าคนอีกคนหนึ่ง หรือประเทศหนึ่งเข้าทำสงครามในประเทศของคนอื่น
คงจะเป็นพลังงานอำนาจในการฆ่า รวมกับ พลังอำนาจในการสร้างความชอบธรรม ความถูกต้องให้แก่ตนเอง

เขียนไว้ตั้งแต่ วันที่ 3/05/2007

คนขายศพ - The Body Snatcher (1945)

เรื่องจริงที่เกิดนานมาแล้ว ในปี 1827 ที่เมือง Edinburgh เมืองศูนย์รวมแห่งการศึกษา โรงเรียนแพทย์มีความต้องการร่างกายมนุษย์อย่างมากเพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งในยุคนี้ ศพที่จะนำมาใช้ได้ คือศพของนักโทษประหารเท่านั้น
ศพที่ตายใหม่ๆและถูกฝังจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวังให้ดี ภายในไม่กี่ชั่วโมง นักล่าศพเหล่านี้จะย่องเข้าไปขุดขโมย และแบกร่างสดๆนั้นไปขายให้กับบรรดาหมอที่รออยู่

บางครั้งญาติของผู้ตาย ถึงกับต้องนอนเฝ้าที่สุสาน จนกว่าศพของผู้เป็นที่รัก จะเปื่อยยุ่ยจนใช้การไม่ได้

Robert Knox นายแพทย์คนหนึ่งตั้งราคาค่าศพไว้ที่ 10 ปอนด์ สำหรับศพที่ใครก็ตามจัดหามาให้ 
William Burke และ William Hare สองนักธุรกิจหัวใส เจ้าของอพาต์เม้นท์นำร่างของชายที่ติดค้างค่าเช่าไปขาย เมื่อรายได้เข้ามาง่ายแบบนี้ การขุดค้นหาศพ และการทำให้เป็นศพจึงเริ่มขึ้น

Up the close and down the stair,
In the house with Burke and Hare.
Burke’s the butcher, Hare’s the thief,
Knox, the boy who buys the beef.

เดินตามทาง และลงต่อไปยังบันได
สองคนในบ้าน นายเบิร์ก และนายแฮร์
เบิร์กคือมือหั่น ส่วนแฮร์คือมือขโมย
น๊อกซ์คือชื่อของเด็กซื้อเนื้อ


เรื่องจริงที่เล่ามาข้างบนนั่น คือที่มาบางส่วนของหนังเรื่องที่จะเล่าวันนี้ ดาราที่อาจจะจำกันได้สองคน ร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย
คนแรกคือ Bela Lugosi ต้นตำนานแดรกคิวล่า


ส่วนอีกคนคือ Boris Karloff  แฟร้งเก้นสไตน์ หนังเรื่องนี้เค้ารับบทนำ


หนังเรื่องนี้สร้างจากงานเขียนของ Robert Louis Stevenson ค่ะ
ส่วนผู้สร้างหนังเรื่องนี้คือ Robert Wise อีก 20 ปีถัดมา แกสร้างหนังเรื่อง The Sound of Music


นายแพทย์ Wolfe MacFarlane หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Toddy
เจ้าของโรงเรียนฝึกหัดแพทย์ ผู้มีอดีตเกี่ยวพันกับคดีฆาตรกรรมเพิ่อนำศพไปขายให้กับ Robert Knox  อดีตของแมคฟาเลนคือหนึ่งในทีมของ Burke และ Hare

หมอใหญ่ผู้มีชื่อเสียงในสก๊อตแลนด์ เพื่อที่จะดำรงสถานภาพของตนเองไว้ให้ได้ แมคฟาเลนต้องหลบหนีจากอดีตที่ตามล่าเขา นั่นรวมถึง John Gray คนขับรถม้าที่ร่วมงานมาด้วยกัน 
เกรย์ชายฐานะต่ำต้อยผู้กุมความลับทั้งหมด เขารู้สึกสนุกที่มีอำนาจเหนือแมคฟาเลน หมอผู้ยิ่งใหญ่ 


Body Snatcher 1945




ที่เมือง Edinburgh ปี 1831

คนขับรถม้าชื่อ John Gray พาแม่ลูกคู่หนึ่งมายังบ้านหรือโรงเรียนแพทย์ของ นายแพทย์ Wolfe MacFarlane หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Toddy
นาง Marsh พา Georgina ที่เดินไม่ได้หลังจากรับอุบัติเหตุมาให้หมอ แมคฟาเรน รักษา แต่หมอแมคฟาเรนปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีเวลาสำหรับการผ่าตัด เค้ามีงานอื่นที่ต้องทำอีกมาก ซึ่งสร้างความเสียใจให้กับผู้เป็นแม่ .......แม้กระทั่งFettes ลูกศิษย์ของแมคฟาเรนเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมแมคฟาเรนจึงไม่ยอมผ่าตัดให้ 

นี่คือโฉมหน้าของ Boris Karloff ในเรื่องนี้ค่ะ เล่นเป็นคนขับรถม้า ชื่อ John Gray

สองแม่ลูกที่มาหาหมอแมคฟาเลน

เสียใจด้วย ผมต้องสอนนักเรียนแพทย์ และไม่มีเวลามากพอที่จะทำการผ่าตัดให้ลูกสาวคุณ

เฟติส เป็นนักเรียนแพทย์ที่ฉลาด แต่เนื่องด้วยปัญหาทางการเงินเค้าจึงต้องขอลาออกจากการเรียน แมคฟาเลนเสียดายในความสามารถของ เฟติส จึงขอให้เฟติสมาช่วยงานของเค้า เฟติสตอบตกลงอย่างยินดี
Meg Camden ภรรยาของหมอแมคฟาเลน ที่ต้องกลายสภาพเป็นคนรับใช้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ร้องเตือนแมคฟาเลนว่าคิดดีแล้วหรือที่จะรับเฟติสมาอยู่ด้วย

ผมอยากจะเลิกเรียนแพทย์ ผมไม่มีเงิน

ปัญหานี้แก้ง่ายนิดเดียวเฟติส มาเป็นผู้ช่วยชั้นที่นี่ก็ได้เฟติส

คุณแน่ใจหรือ ที่จะรับเฟติสมาอยู่ด้วย

นี่คือ Bela Lugosi ตำนานแห่งแดร๊กคิวล่า นะคะ ในเรื่องนี้เค้ารับบทเป็นคนรับใช้ของหมอแมคฟาเรน

หมอแมคฟาเลนบอกถึงงานที่เฟติสจะต้องทำในคืนนี้

ในคืนแรกที่เฟติสมาอยู่กับหมอแมคฟาเรน สิ่งที่เค้าจะต้องทำก็คือ เมื่อคนขับรถม้าชื่อ เกรย์ มาส่งของ ให้นำเงินจำนวน 4 ปอนด์จ่ายให้เกรย์ไป งานง่ายนิดเดียวเอง

ได้ยินเสียงรถม้ามาหยุดที่หน้าบ้าน

และเกรย์ นำของมาส่ง

เธอคือคนใหม่สินะพ่อหนุ่ม

นั่นแหล่ะ จ่ายเงินค่าของมา เดี๋ยวก็รู้เองว่าอะไรเป็นอะไร

เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงผู้เป็นแม่มาขอร้องให้เฟติสช่วยคุยกับหมอแมคฟาเลนผ่าตัดให้กับลูกของเธอ เฟติสรับปากว่าจะพยายามพูดให้ แต่ในใจเขากลับร้อนรนครุ่นคิดและสงสัยว่า เจ้าคนขับรถม้านั่นเอาของมาจากไหนเพื่อมาขายให้หมอแมคฟาเลน
ในไม่ช้าเค้าก็รู้คำตอบ 

ได้โปรดช่วยบอกคุณหมอแมคฟาเรนให้ช่วยลูกของชั้นด้วยเถิด

ที่หน้าสุสานแห่งหนึ่ง เฟติสเคยมานั่งคุยกับหญิงชราที่มาให้อาหารสุนัขที่ช่วยเฝ้าศพลูกชาย

เกิดอะไรขึ้น

หญิงชรากับสุนัขที่ไร้วิญญาน

มันเอาไม้ฟาดหมาของฉันตาย แล้วขุดศพลูกชายของชั้นไป ไม่เหลือใครอีกแล้ว

เฟติสกลับไปหาหมอแมคฟาเลนและแจ้งความต้องการจะเลิกเรียนแพทย์ของเขาให้แมคฟาเลนทราบอีกครั้ง แมคฟาเลนตอบโต้เฟติสด้วยเหตุผลและจุดยืนของเขาว่า นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราจำเป็นต้องทำ เพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ และเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่น
ถึงแม้มันจะขัดแย้งในใจ แต่เฟติสก็ยอมโอนอ่อนไปตามเหตุผลนั้น

ฟังนะ มันคือความจำเป็น เพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ เราจำเป็นต้องทำ

เมื่อกล่อมเฟติสได้ หมอแมคฟาเลนจึงพาเค้าออกไปเลี้ยงอาหาร และที่ร้านอาหารนั้นเองเค้าได้เผชิญหน้ากับ เกรย์
ต่อหน้าเกรย์ หมอแมคฟาเลนดูเหมือนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เฟติสถือโอกาสนี้ขอร้องให้แมคฟาเลนช่วยผ่าตัดให้กับจอร์จิน่าเด็กหญิงที่เดินไม่ได้ เกรย์รู้สึกสนุกที่แมคฟาเลนพยายามปฏิเสธการผ่าตัด จึงรีบยั่วยุให้หมอแมคฟาเลนรับปากว่าจะรักษา 
เกรย์ :  ชั้นมันไม่ใช่คนดีหรอกนะเฟติส  แต่ดูนี่สิ หนูน้อยแมคฟาเรน ชั้นเรียกเค้าว่าท๊อดดี้, ท๊อดดี้สั่งอะไรมาให้ชั้นซดหน่อยสิ
แมคฟาเลน :  อย่ามาเรียกชั้นว่าท๊อดดี้
เกรย์ : เฟติส นายรู้มั้ย ท๊อดดี้เค้าเกลียดชั้น นายเคยเห็นท๊อดดี้เค้าเล่นมีดนี่มั้ย ใจเค้าหน่ะ อยากจะเอามีดนี่ปักชั้นไปทั้งตัว
เฟติส : แต่พวกแพทย์อย่างเรามีวิธีที่ดีกว่านั้นครับ ถ้าเราไม่ชอบหน้าใคร เราก็แค่ชำแหล่ะมันซะ

ได้โปรดผ่าตัดให้หนูน้อยนั่นเถิดนะครับ

รึแกจะไม่กล้า ฮะฮ่าฮ่า

ถึงแม้ว่าต่อหน้าเกรย์แมคฟาเลนจะรับปาก แต่เมื่ออยู่กับเฟติส สองต่อสอง แมคฟาเลนก็บอกความจริงกับเฟติสว่า ผ่าตัดไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน และเราไม่มีศพจะมาทดลองอีกแล้ว
คืนนั้น เฟติสจึงเดินทางไปที่บ้านของเกรย์เพื่อขอให้เกรย์หาศพมาให้
แต่เกรย์ไม่ใช่คนที่ใครจะสั่งได้ เฟติสต้องกลับมาอย่างผิดหวัง
เกรย์ ผู้ไม่มีใครคาดเดาได้ เดินทางด้วยรถม้ามายังบ้านของหมอแมคฟาเลน พร้อมกับศพหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคือหญิงขอทานที่เฟติสพบระหว่างทางไปหาเกรย์
เกรย์ฆ่าหล่อนเพื่อนำมาให้กับเฟติส ตามคำขอร้อง

เราไม่มีศพจะมาผ่าทดลอง ชั้นเสียใจด้วย

พ่อหนุ่ม ชั้นไม่ได้มีศพมาให้เธอซื้อได้บ่อยๆหรอกนะ

มองตามเฟติสไป ไม่รู้คิดอะไรอยู่

นี่งัยพ่อหนุ่มน้อย ศพที่เธอต้องการ

เฟติสเปิดผ้าคลุมศพดูจึงรู้ว่า เป็นหญิงขอทานที่เค้าเพิ่งเจอเมื่อครู่

จ่ายเงินแล้วทำทุกอย่างให้เป็นปกติ แกต้องการศพ ก็เอามาให้แล้วนี่งัย 

วันรุ่งขึ้นเฟติสบอกกับแมคฟาเลนว่า เกรย์ฆ่าหญิงขอทานแล้วนำศพมาขาย หมอแมคฟาเลนยืนยันว่าให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะความเดือดร้อนอาจมาถึงตัวได้

เราต้องเลยตามเลยแล้วเฟติส ใครอาจจะกล่าวหาว่าแกสมรู้ร่วมคิดกับมันก็ได้

ทุกคำพูดระหว่างแมคฟาเลนกับเฟติส มีแดร๊กคิวล่า เอ้ยย โจเซฟ แอบฟังอยู่

แฟร้งเก้นสไตน์ ปะทะ แดร๊กคิวล่า ....ไม่ช่ายยยย   โจเซฟมีอะไรจะคุยกับเกรย์ต่างหาก

หลังการทดลองกับศพของหญิงขอทาน การผ่าตัดกระดูกสันหลังของหนูน้อยผ่านไปด้วยดี
แต่อย่างไรก็ตามการพยายามให้จอร์จิน่าฝึกเดินไม่เป็นผลสำเร็จ ซึ่งทำให้แมคฟาเลนผิดหวังมาก จนต้องไปปรับทุกข์กับเกรย์

การผ่าตัดหนูน้อยเป็นไปอย่างเคร่งเครียด แต่ก็จบลงด้วยดี

ถึงแม้การผ่าตัดจะสำเร็จ แต่หนูน้อยก็ไม่ยอมเดิน สร้างความผิดหวังต่อแมคฟาเลนอย่างมาก

ดูน้ำหน้าแกสิท๊อดดี้ แกแน่ใจเหรอว่าเป็นหน้าของหมอที่สุดประเสริฐ

ชั้นมันก็แค่คนกระจอก คนถ่อมตัว เป็นเพราะชั้นมันจนก็เลยต้องทำในหลายสิ่งที่ชั้นไม่ได้อยากจะทำ แต่การที่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหมอแมคฟาเลนต้องมาหาชั้นทุกครั้ง เพียงแค่ชั้นผิวปากเรียก มันทำให้ความรู้สึกเป็นคนของชั้นสมบูรณ์ ถ้าขาดสิ่งนี้มันก็ไม่มีอะไรสนุกเหลือเลย ชั้นมันแค่คนขับรถม้า เป็นแค่โจรขโมยศพ แต่แกไม่มีวันกำจัดชั้นออกไปจากชีวิตแกได้หรอก ท๊อดดี้

แกไม่มีทางกำจัดชั้นไปได้จากชีวิตแกหรอกท๊อดดี้

โจเซฟแอบมาพบกับเกรย์ เพื่อจะขอเงินเล็กๆน้อยๆ เป็นการปิดปาก
โจเซฟ : ชั้นรู้ว่าแกฆ่าคนเพื่อขายเป็นศพนะเกรย์
เกรย์ : แกมาที่นี่ด้วยตัวแกเองใช่มั้ยโจเซฟ แน่ใจนะว่าไม่มีใครรู้ว่าแกมาที่นี่

แกจะมาแบล็คเมล์เรื่องศพของขอทานนั่นหน่ะเหรอโจเซฟ

นี่งัยวิธีฆ่าคนเพื่อเอาศพไปขายหน่ะ ชั้นจะแสดงให้ดู

เอามือจับหน้ามันแบบนี้

แล้วกดลงไป

จนกว่ามันจะตาย

แบกมาอีกศพพร้อมรอยยิ้มยะเยือก

เธอจำวันที่ชั้นพาหมอหนุ่มที่ชื่อท๊อดดี้มาหาเธอได้มั้ย ทำไมวันนี้เธอถึงเย็นชากับเพื่อนเก่าเหลือเกินหล่ะ

เมื่อแมคฟาเลนพบศพของโจเซฟ ความอดทนก็สิ้นสุด เขาเดินทางไปหาเกรย์ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะกำจัดเกรย์ออกไปจากชีวิต
ชั้นจะต้องกำจัดมันออกไปจากชีวิต

เธอไปซะเถอะ เฟติส เรื่องราวทั้งหมดมันซับซ้อนกว่าที่เธอรู้

แมคฟาเลนเดินทางไปที่บ้านของเกรย์ คราวนี้เค้าจะไม่ให้อดีตและเกรย์มาหลอกหลอนได้อีก พวกเขาต่อสู้กัน และเกรย์ถูกฆ่าตาย ปีศาจที่คอยตามหลอกหลอนของแมคฟาเลนได้จบชีวิตลงแล้ว

สองเพื่อนรักเพื่อนแค้นกำลังพยายามฆ่ากัน

เฟติสเดินทางไปพบกับสองแม่ลูกและพบว่าจอร์จิน่าเดินได้แล้ว จึงรีบนำข่าวไปบอกกับหมอแมคฟาเลน

หนูเดินได้แล้วจอร์จิน่า หมอแมคฟาเลนทำสำเร็จแล้ว

หลังจากดีใจเรื่องการผ่าตัดสำเร็จ ทั้งคู่ก็ได้เห็นครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งกลับจากพิธีศพเข้ามายังร้าน

ครอบครัวนี้

แมคฟาเลนดึงดันที่จะไปขโมยศพนี้มาให้ได้ เพราะในใจรู้ดีว่าไม่มีใครหาศพให้เขาได้อีกแล้ว

ไปขุดศพในสุสาน

ช่วยกันคนละไม้ละมือ

ระหว่างทางฝนตกหนักมาก

เฟติสลงไปช่วยส่องไฟ

มองหน้าศพให้ชัดๆ

เกรย์ยังคงกลับมา

แกไม่มีวันกำจัดฉันได้หรอกท๊อดดี้

ไม่มีวัน

ชั้นจะอยู่กับแกไปจนนิรันดร์

เฟติสมาเปิดดูศพก็พบว่าในห่อศพนั้นเป็นศพของผู้หญิงที่เขาไปช่วยกันขุดขึ้นมา

แมคฟาเลน หนีอดีตไปไม่พ้น................ไม่มีวันกำจัดชั้นไปได้หรอก ท๊อดดี้ ไม่มีวัน

(เขียนตั้งแต่ 24/07/2007)